#ฝึกดูจิต #ฝึกนามรูปปริจเฉทญาณ #ฝึกยถาภูตญาณทัสสนะ
สังขตสภาวธรรม แปลว่า สิ่งที่มีปัจจัยมากกว่า 1 ทำให้เกิด.
ฉะนั้น คำแค่ 1 คำจึงทำให้เข้าใจสภาวะชัดเจนไม่ได้. ต้องใช้คำหลายๆ คำ ใช้สัมปยุตหลายๆ อย่าง, ใช้ปัจจัยหลายๆ ตัว, ใช้ปัจจยุปบันหลายๆ ตัว เพื่อให้เห็นสภาวะธรรมชัดเจน.
เช่น ถ้าแปลสติ แค่ว่า ระลึก ในภาษาไทย, ก็จะสับสนกับวิตก สับสนกับจิตตุปบาท.
แต่ถ้าเพิ่มมุมมองเหล่านี้:
ฉะนั้น เวลาดูจิต(+เจตสิก) ให้ดูที่สัมปยุตตธรรม, ถ้าเพ่งแค่คำแปล สภาพธรรมจะไม่ชัดแจ้ง. ผุ้ปฏิบัติจะต้องใช้คำหลากหลาย ใช้ปัจจัยปัจจยุปบันหลากหลาย ตามที่อาจารย์กรรมฐานค่อยๆ แนะนำให้มา ในการดูจิต.
วิธีเหล่านี้ เป็นวิธีฝึกปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานของผู้ที่บรรลุแล้วที่พระอริยะทุกคนต้องมี แต่อาจจะมากน้อย และแตกฉานในกรรมฐานที่ต่างๆ กันไป).
ฉะนั้น คำแค่ 1 คำจึงทำให้เข้าใจสภาวะชัดเจนไม่ได้. ต้องใช้คำหลายๆ คำ ใช้สัมปยุตหลายๆ อย่าง, ใช้ปัจจัยหลายๆ ตัว, ใช้ปัจจยุปบันหลายๆ ตัว เพื่อให้เห็นสภาวะธรรมชัดเจน.
เช่น ถ้าแปลสติ แค่ว่า ระลึก ในภาษาไทย, ก็จะสับสนกับวิตก สับสนกับจิตตุปบาท.
แต่ถ้าเพิ่มมุมมองเหล่านี้:
- ใช้คำภาษาอังกฤษว่า non-floating (ไม่หลุดลอย, ไม่หายไป) ปัญญาก็จะยิ่งเห็นสติเจตสิกชัดเจนขึ้น.
- ยิ่งจำลักขณาทิจจตุกะของสติเจตสิกได้ ปัญญาก็จะยิ่งเห็นสติเจตสิกชัดเจนขึ้น.
- ยิ่งเห็นสัมปยุตธรรม ว่ามีมากกว่าอกุศลเป็น 10 ดวง ปัญญาก็จะยิ่งเห็นสติชัดเจนขึ้น.
- ยิ่งพิจารณาสัมปยุตแต่ละอย่างๆ ว่า สนับสนุนส่งเสริมสติอย่างไร ปัญญาก็จะยิ่งเห็นสติชัดเจนขึ้น.
- ยิ่งเห็นอุปนิสสยปัจจัยต่างๆ ที่ช่วยให้เกิดสติ ปัญญาก็จะยิ่งเห็นสติเจตสิกชัดเจนขึ้น.
- ด้วยวิธีต่างๆเหล่านี้ ปัญญาก็จะยิ่งเห็นสติเจตสิกชัดเจนขึ้น เป็นต้น.
ฉะนั้น เวลาดูจิต(+เจตสิก) ให้ดูที่สัมปยุตตธรรม, ถ้าเพ่งแค่คำแปล สภาพธรรมจะไม่ชัดแจ้ง. ผุ้ปฏิบัติจะต้องใช้คำหลากหลาย ใช้ปัจจัยปัจจยุปบันหลากหลาย ตามที่อาจารย์กรรมฐานค่อยๆ แนะนำให้มา ในการดูจิต.
วิธีเหล่านี้ เป็นวิธีฝึกปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานของผู้ที่บรรลุแล้วที่พระอริยะทุกคนต้องมี แต่อาจจะมากน้อย และแตกฉานในกรรมฐานที่ต่างๆ กันไป).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
รับตอบปัญหาธรรมะ ตามพระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา
ท่านสอบถาม/แสดงความคิดเห็น/บอกข้อบกพร่องของบทความได้ที่ facebook: ตอบปัญหาธรรมะลึกซึ้ง หรือ ช่องตอบกลับข้างล่างนี้.