วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

มิจฉาทิฏฐิ เทียบกับ ปัญญา

องค์ของมิจฉาทิฏฐิมี 2 ข้อ คือ
  1. วตฺถุโน จ คหิตาการวิปรีตตา, ความผิดเพี้ยนแห่งปัจจยาการของวัตถุที่โลภะยึดไว้, หรือ ความผิดเพี้ยนแห่งอาการของโลภะที่เข้าไปยึดวัตถุไว้.
  2. ยถา จ ตํ คณฺหาติ ตถาภาเวน ตสฺสุปฏฺฐานํ, โลภะยึด(วัตถุผิดๆ)ไว้แบบไหน, มิจฉาทิฏฐิก็เข้าไปตั้งมั่นด้วยอาการอย่างผิดๆ แบบนั้น (ในวัตถุนั้นที่ปรากฎชัดแบบผิดๆกับทิฏฐิเองไว้ ว่า "ที่เราเข้าใจเท่านั้นเป็นจริง, นอกจากนี้ไม่ใช่ ไม่จริง ไม่ถูก").
จาก คำขยายของฏีกาที่ว่า "ที่เราเข้าใจเท่านั้นเป็นจริง, นอกจากนี้ไม่ใช่" ก็ไปสอดคล้องกับอรรถะของปัญญาที่ว่า "ปชานนา ปญฺญา (การเข้าใจความจริงต่างๆ คือ ปัญญา)" เพราะมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจสิ่งที่ผิดไว้อย่างเดียว แล้วร่วมมือกับโลภะยึดเอาไว้, ส่วนปัญญานั้น เข้าใจสิ่งที่ถูกต้องทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ 6 เท่าที่สามารถ ตามความเป็นจริงซึ่งมีหลายอย่างต่างๆ กันไป.

---------------------------------------------------------
อนึ่ง, จริงๆ แล้ว ฏีกา โยคมิจฉาทิฏฐิเข้ามาในข้อแรกเลย ทำให้บางคนอาจจะงงว่าผมแปลขัดกับฏีกาหรือเปล่า, ซึ่งอันที่จริงไม่ได้ขัดกัน. 
แต่ที่ผมโยคเอาโลภะ เพราะ...
  1. เพราะทิฏฐิเจตสิกไม่ได้มีสภาพยึดติด (คหิต แปลตรงกับ อุปาทาน ซึ่งองค์ธรรม ได้แก่ โลภะ ไม่ใช่ ทิฏฐิ), ถ้าโยคเอาทิฏฐิเจตสิกเข้ามา ก็จะผิดลักขณาทิจจตุกะของทิฏฐิเอง และเกิดความสับสนระหว่างทิฏฐิ โลภะ และจิตด้วย. 
  2. อีกอย่างคือเพราะพระโสดาบันแม้ไม่มีทิฏฐิ แต่ก็ยังมีวิปลาสอยู่ ถ้าโยคเอาทิฏฐิเจตสิกเข้ามาในข้อแรกนี้เลย พระโสดาบันก็จะกลายเป็นผู้มีทิฏฐิเจตสิกด้วย. 
  3. และอีกอย่าง คือ เพราะองค์กรรมบถข้ออื่น เช่น ปาณาติบาต เป็นต้น จะไม่มีตัวองค์ธรรมอยู่ในองค์แรกเลย แต่จะแสดงอารมณ์ของปาณาติบาตก่อน เพราะถ้ามี องค์ข้อที่เหลือก็หมดประโยชน์ทันที. 
  4. และอย่างสุดท้าย คือ เพราะในอรรถกถาไม่ได้โยคไว้ให้ตรงๆ. 

ด้วยเหตุผล 4 ข้อนี้ จึงไม่เห็นมิจฉาทิฏฐิในคำแปลข้อแรกที่ผมแปล. แต่ทั้งผมและฏีกา ไม่ได้ขัดกัน เพราะจะโยคเจาะจงมิจฉาทิฏฐิในข้อแรกเลย หรือ จะโยคโลภะมาก่อน, แต่เมื่อรวมองค์ทั้ง 2 ข้อแล้ว ก็ได้เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ดี ครับ. 
แต่ฏีกาโยคมิจฉาทิฏฐิมา ก็เพื่อให้ครบรูปประโยคที่ควรจะเป็น ไม่ให้นักศึกษาโยคเองผิดพลาด, เป็นการบอกว่า "ความผิดเพี้ยนของวัตถุนี้ ต้องถือเอาด้วยมิจฉาทิฏฐิเท่านั้นนะ จึงจะเป็นวัตถุของมิจฉาทิฏฐิ ถ้าถือเอาด้วย โลภะ หรือ ด้วยจิตเฉยๆ ยังไม่แน่ว่าจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ". 
ส่วนผมไม่ได้โยค เพื่อที่จะรักษารูปบาลีในอรรถกถาไว้ และเพื่อที่จะแสดงว่า "จิตตวิปลาสไม่จำเป็นต้องมีทิฏฐิวิปลาสเกิดร่วมเสมอไป" เพราะโลภะก็ยึดผิดจากปัจจยาการโดยปราศจากทิฏฐิได้ (จิตตวิปลาส, สัญญาวิปลาส ของพระเสกขบุคคล), และเพราะจิตก็รับรู้ผิดจากที่บัญญัติกันได้ เช่น ฏีกาบอกว่าอนุสัยเป็นอวิชชมาน เพราะมุ่งหมายเอาอนุสัยในขณะที่กุศลปหานอยู่, ส่วนอรรถกถาบอกว่า อนุสัยเป็นสังขต เพราะมุ่งหมายเอาอนุสัยที่กำลังปริยุฏฐิตะอยู่ เป็นต้น. อีกประการหนึ่ง ที่ไม่โยคมิจฉาทิฏฐิมาให้เลย ก็เพื่อให้ไม่เข้าใจผิด (อย่างที่มักจะเข้าใจกัน) ว่า "การรับรู้ข้อมูลมาผิด จะต้องเป็นมิจฉาทิฏฐิเสมอไป", แต่แท้ที่จริงแล้ว แม้จะรับรู้ข้อมูลมาผิดจากหลักปัจจยาการ แต่ไม่ได้ตัดสินใจว่า "ที่เราเข้าใจนี้แหละที่เป็นจริง, ไม่มีทางเป็นอื่นจากนี้ (เอวเมตํ, น อิโต อญฺญถา)" ก็ยังไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ. หรือแม้ตัดสินใจว่า "ที่เราเข้าใจนี้แหละที่เป็นจริง, ไม่มีทางเป็นอื่นจากนี้ (เอวเมตํ, น อิโต อญฺญถา)" แต่สิ่งที่เข้าใจนั้นคล้อยตามปฏิจจสมุปบาท, และสิ่งที่เราปฏิเสธนั้น ก็ผิดจากปฏิจจสมุปบาทจริงๆ อย่างนี้ก็เป็นสัมมาทิฏฐิได้เช่นกัน ไม่จำเป็นว่าวัตถุผิดแล้วจะต้องเป็นมิจฉาทิฏฐิเสมอไป ครับ. ต้องดูตามความเป็นจริงโดยสภาวะ (ตามลักขณาทิจจตุกะ) และ โดยปัจจยาการ (ปัจจัยปัจจยุปบัน) จึงจะสรุปได้ว่า อะไรเป็นสังขต และอะไรไม่ใช่. นี่แหละที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะระดับญาตปริญญา (สัมมาทิฏฐิที่เห็นอย่างชำนาญตามความเป็นจริงโดยปัจจัตตลักษณะ) ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เห็นความเกิดดับ (เพราะปัจจัยเกิด สังขตก็เกิด, ปัจจัยหมด สังขตก็หมด) ที่จะต้องใช้ในตีรณปริญญาต่อไปในวิสุทธิขั้นที่สูงกว่า. 

(ปาถิกวคฺคฏีกา: คหิตาการวิปรีตตาติ มิจฺฉาทิฏฺฐิยา คหิตาการวิปรีตภาโวฯ วตฺถุโนติ ตสฺส อยถาภูตสภาวมาหฯ ตถาภาเวนาติ คหิตากาเรเนว วิปรีตากาเรเนวฯ ตสฺสทิฏฺฐิคติกสฺส, ตสฺส วา วตฺถุโน อุปฏฺฐานํ, "เอวเมตํ น อิโต อญฺญถา"ติฯ, นิทานวคฺคฏีกา: วตฺถุโนติ คหิตวตฺถุโนฯ คหิตาการวิปรีตตาติมิจฺฉาทิฏฺฐิยา คหิตาการสฺส วิปรีตตาฯ ตถาภาเวนาติ อตฺตโน คหิตากาเรเนว ตสฺสาทิฏฺฐิยา, คหิตสฺส วา วตฺถุโน อุปฏฺฐานํ "เอวเมตํ, น อิโต อญฺญถา"ติฯ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รับตอบปัญหาธรรมะ ตามพระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา
ท่านสอบถาม/แสดงความคิดเห็น/บอกข้อบกพร่องของบทความได้ที่ facebook: ตอบปัญหาธรรมะลึกซึ้ง หรือ ช่องตอบกลับข้างล่างนี้.

การทำบุญบาปเหมือนสะสม exp เลเวลในเกม แต่เกมชีวิตมันมีลดเลเวลได้

 การทำบุญบาปเหมือนสะสม exp เลเวลในเกม แต่เกมชีวิตมันมีลดเลเวลได้ ถ้าไม่ทำครบขั้นตอนแบบพระพุทธเจ้าบอกสูตรไว้ คือ ดีแล้วกลับมาชั่วทีหลัง ชั่วแ...