การที่จะเห็นกรรมได้ชัดเจน จะต้องระลึกชาติไปจนถึงในขณะจิตแรกที่เกิดในครรภ์พร้อมกับแยกนามรูปไปด้วย เพราะขณะเกิดในครรภ์นั้นเป็นผลของกรรมๆ เดียวชัดเจน แล้วระลึกถึงกรรมต้นเหตุของมันโดยย้อนไปที่วาระจิตสุดท้ายก่อนจะตาย จะเป็นสิ่งที่จิตรู้ก่อนตาย และเห็นกรรมที่ทำให้จิตรู้สิ่งนั้น กรรมที่ปรากฎก่อนตายในชาติก่อนๆนี้แหละ ถ้าเป็นกรรมดี จิตก่อนตายก็จะรู้สิ่งที่ดี และไปเกิดในภพภูมิที่ดีแน่นอน แต่ถ้าเป็นกรรมชั่ว ก็จะไปเกิดในภพภูมิที่เลวร้ายแน่นอน.
ส่วนผลของกรรมหลังจากขณะปฏิสนธิในครรภ์ จะกำหนดให้ชัดได้ยากมากๆ เพราะจะมีทั้งผลของกรรมดีและผลของกรรมชั่วเกิดพร้อมกันเยอะแยะไปหมด เช่นขณะที่ตารู้สีที่สวยๆด้วยผลของกรรมดี ขาอาจจะเน่าด้วยผลของกรรมชั่วอยู่ก็ได้ เป็นต้น มีผลของกรรมดีและชั่วเกิดพร้อมๆกันอย่างนี้เต็มไปหมด. ผู้ที่ไม่มีปัญญา ก็จะไม่สามารถแยกข้อเท็จจริงได้ว่าอันไหนเป็นผลของกรรมดี หรือ อันไหนเป็นผลของกรรมชั่ว จึงเกิดความเข้าใจผิดในเรื่องของกรรมได้ง่ายนะครับ. ท่านจึงแนะนำให้ระลึกนามรูปกลับไปดูขณะปฏิสนธิในครรภ์ และวาระจิตก่อนตาย เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าไม่ว่ายังไงกรรมดีก็ให้ผลดี กรรมชั่วก็ให้ผลชั่วแน่นอน. แล้วพอกำหนดนามรูปลงปฏิจจสมุปบาทไตรลักษณ์ก็จะปรากฏอย่างชัดเจน. ด้วยเหตุอย่างนี้ ก็จะหมดความสงสัยในกาล 3 (กังขาวิตรณวิสุทธิ) ครับ.
นอกจากนี้ยังเป็นเหตุผลด้วยว่า ทำไมท่านจึงกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคว่า อภิธรรมเป็นวิปัสสนา และเป็นเหตุผลว่า ทำไมอภิธรรมจึงต้องแสดงปฏิสนธิขณะกับมรณาสันนวิถีไว้ด้วย. นอกจากนี้ ยังเป็นเหตุผลอีกว่า ทำไมท่านจึงแสดง บุพเพนิวาสานุสติญาณ กับจุตูปปาตญาณ ก่อนอาสวักขยญาณ ไว้ในพระไตรปิฎกหลายที่มากๆ. อีกทั้งในปฏิสัมภิทามรรคมาติกา ยังใช้ ปจฺจย ศัพท์ ทั้งในปัจจัยปริคคหญาณ และปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อีกด้วย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
รับตอบปัญหาธรรมะ ตามพระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา
ท่านสอบถาม/แสดงความคิดเห็น/บอกข้อบกพร่องของบทความได้ที่ facebook: ตอบปัญหาธรรมะลึกซึ้ง หรือ ช่องตอบกลับข้างล่างนี้.