ไม่ควรแยกอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เพื่อพูดในเชิง "อันหนึ่ง ด้อยกว่าอีกอันหนึ่ง" ครับ เพราะรถผลัดก่อน มีความสำคัญต่อผลัดถัดไป ครับ ถึงจะด้อยกว่ายังไง ก็ขาดไม่ได้เลยอยู่ดี.
เหมือนเด็กมัธยมที่ด้อยกว่าเด็กมหาวิทยาลัย แต่ถ้าไม่เป็นเด็กมัธยม ก็เป็นเด็กมหาลัยไม่ได้ ฉันใด, อธิจิตแม้จะปหานกิเลสได้ไม่เท่าอธิปัญญาก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้อธิจิต ก็ไม่ต้องหวังได้อธิปัญญา ฉันนั้น.
เพราะถึงสมาธิจะทำสมุจเฉทปหานไม่ได้ แต่สมุทเฉทปหานไม่เกิดกับผู้ไม่มีสมาธิ เช่นกันครับ. ตามหลักเนตติปกรณ์และอรรถกถาแล้ว ผู้ที่ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิ คือ ผู้ที่มีปกติกิเลสไม่เกิด (ทิฏฐิจริต) เท่านั้น. ซึ่งถ้าเป็นทิฏฐิจริตจริง การทำฌานก็คงไม่ยากอะไรนะครับ.
ส่วนคนที่กลัวติดสุขในฌาน... ตามหลักเนตติปกรณ์และอรรถกถาแล้ว โลภะติดสุขในฌาน ปหานง่ายกว่า โลภะติดสุขในกาม อย่างมากๆ ครับ. ดังนั้น ถ้าแค่ทำฌานยังทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปหวังมรรค ผล เลยครับ.
อย่าไปเอาข้อความที่ว่า "ฌานนั้นได้ยากแสนยาก น้อยคนที่จะได้" กับ "สุขวิปัสสกมีมากกว่าฉฬภิญโญ" มาเหมารวมกลายเป็นว่า ทำวิปัสสนาไปเลย ง่ายกว่าทำฌานก่อนแล้วค่อยทำวิปัสสนา นะครับ, มันไม่ถูกต้อง.
ความจริงแล้ว ทำวิปัสสนายากที่สุด ยากกว่าการทำฌานด้วย. ตามหลักเนตติปกรณ์แล้ว คนที่จะทำวิปัสสนาได้ ก็คือคนที่ได้ฌาน หรือ พร้อมจะได้ฌานอยู่แล้ว. พวกที่ไม่พร้อมจะได้ฌาน จะไปทำวิปัสสนายังไงๆ ก็ไม่บรรลุ เพราะฌานง่ายกว่าแท้ๆ ยังไม่พร้อมเลย. และฌานก็เป็นรถพลัดก่อนถึงวิปัสสนาด้วย (วิสุทธิมรรคว่า จิตตวิสุทธิ คือ อุปจารฌาน หรือ อัปปนาฌาน), ถ้าไม่ทำฌานให้ได้อุปจาระ หรือ อัปปนา (จิตตวิสุทธิ) หรือไม่พร้อมจะได้ฌานอยู่แล้ว(ทิฏฐิจริต, อุคฆฏิตัญญู, วิปจิตัญญู) จะเปลี่ยนผลัดไปวิปัสสนาได้ยังไงกัน?
รวมความว่า อย่าพูดในเชิงว่า "ไม่จำเป็นต้องทำฌานก็ทำวิปัสสนาได้" พร่ำเพรื่อ โดยไม่ถูกหลักเหตุผล ตามหลักเนตติปกรณ์ ครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
รับตอบปัญหาธรรมะ ตามพระไตรปิฏก อรรถกถา ฏีกา
ท่านสอบถาม/แสดงความคิดเห็น/บอกข้อบกพร่องของบทความได้ที่ facebook: ตอบปัญหาธรรมะลึกซึ้ง หรือ ช่องตอบกลับข้างล่างนี้.