จะมีเทคนิคหรือไม่มีเทคนิคทำสมาธิ ตราบเท่าที่ยังมีทิฐิเจตสิกเกิด ทำอะไรก็เป็นศิลพตปรามาสได้หมดครับ.
กระทั่งที่ผมพิมพ์ หรือที่ทุกคนกำลังอ่านอยู่นี้ ก็เป็นศิลพตปรามาสได้ว่า "การพิมพ์อย่างนี้เท่านั้นจริงการพิมพ์อย่างอื่นเปล่า", "การอ่านอย่างนี้เท่านั้นดี การอ่านอย่างอื่นเปล่า".
เพราะว่าไม่ได้เห็นนามรูปนั้นๆตามข้อเท็จจริงของเขาว่า "จริงหรือเท็จอย่างไร ตามปัจจัยปัจจุบันจริงๆที่เขาอาศัยเกิดขึ้น".
เมื่อไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงอย่างนั้น จะมีเทคนิคทำสมาธิ หรือไม่มีเทคนิคทำสมาธิ ก็ยังมีศิลพตปรามาสทั้งนั้น.
ฉะนั้น อะไรที่จะทำให้เข้าสมาธิได้ง่าย จะให้เกิดฉันทะวิริยะจิตตวีมังสาได้ง่าย ก็ทำไปก่อนเลยครับ เพราะขณะได้อัปปนาฌานนั้น ไม่มีทิฐิเกิดเลย แล้วก็ได้จิตตวิสุทธิมา ก็มั่นใจได้ว่าทำวิปัสสนาแล้วจะเป็นวิปัสสนาแน่ๆ.
เมื่อทำสมาธิแล้ว สิ่งที่จะต้องแก้ไขคือการทำวิปัสสนาให้สมบูรณ์ต่างหาก อันนี้แหละถึงจะละทิฐิได้. บางคนทำวิปัสสนา ไม่เคยเห็นความเกิดดับอย่างรวดเร็ว แสนโกฏิขณะในลัดนิ้วมือ จริงๆเลย. ไม่เคยประจักษ์วิถีจิตจริงๆ ไม่เคยประจักษ์วิถีรูปจริงๆ ที่เป็นของจริงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่เรียนแล้วก็คิดเดาเอาในห้องเรียน แต่เห็นด้วยสมาธิที่เป็นจิตตวิสุทธิจริงๆ ตามที่วิสุทธิมรรค ทิฏฐิวิสุทธินิทเทส กล่าวไว้ว่า จิตตวิสุทธิ ได้แก่อุปจารฌานและอัปปนาฌาน.
บางคนเห็นเกิดดับจริงๆแล้วก็จริง แต่ก็มีนิวรณ์เกิดขั้นวิปัสสนา อันนี้ก็ไม่เป็นพลววิปัสสนาอีก เมื่อไม่เป็นพลววิปัสสนา ก็เรียกว่าวิปัสสนาภาวนาได้ไม่เต็มปากนัก เพราะปหานปริญญาเริ่มที่นี่.
จะเห็นได้ว่า ทิฏฐุปาทานทำให้เกิดศิลพตปรามาส ไม่ใช่เทคนิคทำให้เกิดทิฏฐิ เพราะเทคนิคเหล่านี้พระอริยะท่านก็ใช้กัน ในพระไตรปิฎกก็มี ในอรรถกถาก็มี. แต่พระอริยะ ไม่มีทิฐิเจตสิกเลย ฉะนั้นพระอริยะท่านใช้เทคนิคในการนั่งสมาธิ ก็ไม่มีสีลพตปรามาสอยู่ดีครับ.
กราบเรียนด้วยความเคารพรักและปรารถนาดีอย่างยิ่ง 😊