วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563

ข้ามขั้นตอนก็ไม่ดี ยึดติดในขั้นตอนก็ไม่ได้

"ขั้นสุดท้าย" ของการปริยัติ และปฏิบัติ คือ จะต้องระวังไม่ให้มีตัณหาเข้าไปยึดติดใจ ในทิฐิความเชื่อ และข้อปฏิบัติต่างๆ.

ที่เรียกว่า "ขั้นสุดท้าย" เพราะท่านแนะนำไว้ว่า ถ้าจิตยังไม่มีกำลังสงบกิเลสจริงๆ ให้ตั้งใจปฏิบัติไปก่อน, เมื่อกิเลสนิวรณ์สงบระงับได้ดี เพราะจิตมีกำลัง ก็ค่อยมาทำขั้นตอนสุดท้ายนี้.

นักปฏิบัติจะต้องปฏิบัติตามลำดับให้ถูกต้องก็จริง เพราะข้ามลำดับแม้เพียงเล็กน้อย อาจหมายถึงกิเลสที่หลุดรอด ขวางกั้นนิพพาน.

แต่การปฏิบัติตามลำดับนั้น ต้องไม่ให้มีตัณหาเข้าไปยึดติดการปฏิบัติ คำสอน เป็นต้นด้วย.

บางคนเป็นอุจเฉททิฏฐิ ข้ามขั้นตอน จึงไม่บรรลุก็มี, บางคนเป็นสัสตทิฏฐิ ยึดติดในขั้นตอน จึงไม่บรรลุก็มี. ตัณหา ทิฏฐิ มานะเป็นเครื่องเนิ่นช้า ให้ระวังให้ดี.

ฉะนั้นเมื่อปฏิบัติตามขั้นตอนได้ครบแล้ว ก็ควรปล่อยวางสละคืนข้อปฏิบัติ. แต่ต้องไม่ลืมขั้นตอนเหล่านั้นเวลาแนะนำชนรุ่นหลัง, เพราะขั้นตอนต่างๆ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า และพระสาวกวางแบบแผนไว้เพื่อรักษาพระศาสนาให้ครบ 5000 ปี.

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2563

คุณสมบัติคนไม่ได้ฌานแล้วบรรลุธรรม คือ อาจารย์ดี อกุศลบางเบา

ถาม: ผมเคยได้ยินมาว่า การบรรลุไม่เกี่ยวข้องกับการได้ณาน คนที่บรรลุไม่ได้ณานก็มี และคนที่ได้ณานไม่บรรลุก็มีเช่นพวกฤาษี จริงหรือป่าวครับ

ตอบ: ความจริงครึ่งเดียวครับ, แต่อีกครึ่งหนึ่งไม่ใช่ความจริง

ถาม: คืออะไรครับ จริงครึ่ง ไม่จริงครึ่ง

ตอบ: คนที่บรรลุโดยไม่ได้ฌาน (คนมีจิตตวิสุทธิง่าย) มีจริง ใน 2 กรณี คือ

1. ได้อาจารย์ที่สั่งสมบารมีร่วมกันมา (เช่นพระพุทธเจ้า) สอนกรรมฐานวิธีลัดที่สอนร่วมกันมาหลายชาติให้จนบรรลุ (ติปุกขลนัย),
2. เป็นคนที่ไม่ค่อยมีอกุศลเกิดเลยตั้งแต่เกิด ซึ่งมักเกิดจากพรหมโลก (สีหวิกกีฬิตนัย).

แต่คนที่อกุศลเกิดบ่อย วิปัสสนาจะถูกอกุศลไปกั้นทำให้ภาวนาไม่เป็นภาวนา มรรคผลไม่ยอมเกิด ครับ, ฉะนั้น กรณีนี้ ควรฝึกฌาน ครับ.  อย่างน้อย ถ้าทำวิปัสสนาเกิน 7 ปี แล้วไม่บรรลุ ก็ควรถอยมาทำฌานก่อน ครับ.

ฉะนั้น ที่บอกว่า ไม่ต้องทำฌานก็ได้ จึงเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียว, ว่าตามหลักเนตติปกรณ์ เทสนาหาระ และสีหวิกกีฬิตนัย ครับ.

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2563

ผมหงอก ออกบวช เจริญเนกขัมมะ : วัฒนธรรม ผู้มีปัญญา

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อัตตวรรคที่ ๑๒
๑๒. อัตตวรรควรรณนา               
๑. เรื่องโพธิราชกุมาร [๑๒๗]   (บางส่วน)
               พึงรักษาตนไว้ให้ดีในวัยทั้ง ๓               
               พระศาสดา ครั้นทรงแสดงบุพกรรมนี้ของโพธิราชกุมารนั้น แล้วตรัสว่า
               “ราชกุมาร ก็ในกาลนั้น ถ้าพระองค์กับพระชายา จักถึงความไม่ประมาท แม้ในวัย ๑ บุตรหรือธิดา พึงเกิดขึ้นแม้ในวัย ๑ ก็ถ้าบรรดาพระองค์ทั้ง ๒ แม้คนหนึ่งจักได้เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว บุตรหรือธิดาจักอาศัยผู้ไม่ประมาทนั้นเกิดขึ้น ราชกุมาร ก็บุคคล เมื่อสําคัญตนว่า เป็นที่รัก จึงไม่ประมาท รักษาตนแม้ในวัยทั้ง ๓ เมื่อไม่อาจ (รักษา) ได้อย่างนั้น พึงรักษาให้ได้แม้ในวัย ๑”
               แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
                         [๑๕๗]               “ถ้าบุคคลรู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนนั้น
                         ไว้ให้ดี บัณฑิตควรประคับประคองตนไว้ให้ได้อย่างน้อย
                         ยามใดยามหนึ่งใน ๓ ยาม”

               บรรดาคําเหล่านั้น ในคํานี้ว่า ยาม (ยามํ) พระศาสดาทรงแสดงวัยทั้ง ๓ วัยใดวัยหนึ่งให้ชื่อว่ายาม เพราะความที่พระองค์ทรงเป็นใหญ่ในธรรมและเพราะความพระองค์ทรงฉลาดในเทศนาวิธี เพราะเหตุนั้น ในพระคาถานี้ บัณฑิตพึงทราบความอย่างนี้ว่า
               “ถ้าบุคคลรู้ว่าตนเป็นที่รัก พึงรักษาตนนั้น ให้เป็นอันรักษาดีแล้ว คือพึงรักษาตนนั้น โดยประการที่ตนเป็นอันรักษาดีแล้ว บรรดาชนผู้รักษาตนเหล่านั้น ถ้าผู้เป็นคฤหัสถ์คิดว่า ‘จักรักษาตน’ เข้าไปยังห้องที่เขาปิดไว้เรียบร้อย เป็นผู้มีอารักขาสมบูรณ์ อยู่บนพื้นปราสาทชั้นบนก็ดี ผู้เป็นบรรพชิตอยู่ในถ้ำอันปิดเรียบร้อย มีประตูและหน้าต่างอันปิดแล้วก็ดี ยังไม่ชื่อว่ารักษาตนเลย
               แต่ผู้เป็นคฤหัสถ์ ทําบุญทั้งหลายมีทานศีลเป็นต้นตามกําลังอยู่ หรือผู้เป็นบรรพชิต ถึงความขวนขวายในวัตร ปฏิบัติ ปริยัติ และการทําไว้ในใจอยู่ ชื่อว่าย่อมรักษาตน บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อไม่อาจ (ทํา) อย่างนั้นได้ใน ๓ วัย (ต้อง) ประคับประคองตนไว้แม้ในวัยใดวัยหนึ่งก็ได้เหมือนกัน ก็ถ้าผู้เป็นคฤหัสถ์ไม่อาจทํากุศลได้ในปฐมวัย เพราะความเป็นผู้หมกมุ่นอยู่ในการเล่น ในมัชฌิมวัยพึงเป็นผู้ไม่ประมาททําเพ็ญกุศล ถ้าในมัชฌิมวัยยังต้องเลี้ยงบุตรและภรรยา ไม่อาจบําเพ็ญกุศลได้ ในปัจฉิมวัยพึงบําเพ็ญกุศลให้ได้ ด้วยอาการแม้อย่างนี้ ตนเป็นอันเขาประคับประคองแล้วทีเดียว แต่เมื่อเขาไม่ทําอย่างนั้น ตนย่อมชื่อว่าไม่เป็นที่รัก ผู้นั้น (เท่ากับ) ทำตนนั้นให้มีอบายเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทีเดียว
               ก็ถ้าว่า บรรพชิต ในปฐมวัย ทําการสาธยายอยู่ ทรงจำ บอก ทําวัตรปฏิบัติตอบอยู่ ชื่อว่าถึงความประมาท ในมัชฌิมวัยพึงเป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญสมณธรรม อนึ่ง ถ้ายังสอบถามอรรถกถาและวินิจฉัยและเหตุแห่งปริยัติอันตนเรียนแล้วในปฐมวัยอยู่ ชื่อว่าถึงความประมาทในมัชฌิมวัย ในปัจฉิมวัยพึงเป็นผู้ไม่ประมาทบําเพ็ญสมณธรรม ด้วยอาการแม้อย่างนี้ ตนย่อมเป็นอันบรรพชิตนั้นประคับประคองแล้วทีเดียว แต่เมื่อไม่ทําอย่างนั้น ตนย่อมชื่อว่าไม่เป็นที่รัก บรรพชิตนั้น (เท่ากับ) ทำตนนั้นให้เดือดร้อน ด้วยการตามเดือดร้อนในภายหลังแท้”
               ในเวลาจบเทศนา โพธิราชกุมารดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว พระธรรมเทศนาได้สาเร็จประโยชน์ แม้แก่บริษัทที่ประชุมกันแล้วดังนี้แล

อรรถกถา ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

               อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อปัณณกวรรค
               มฆเทวชาดก ว่าด้วยเทวทูต
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=9&p=1&h=ผมหงอก#hl

               วันหนึ่ง ตรัสเรียกช่างกัลบกมาว่า ดูก่อนช่างกัลบกผู้สหาย ท่านเห็นผมหงอกบนศีรษะของเราในกาลใด
               พระราชาตรัสว่า สหาย ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถอนผมหงอกนั้นของเรา เอามาวางในฝ่ามือ.
               แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พระราชาได้ทรงเห็นผมหงอกแล้ว ก็ทรงสำคัญประหนึ่งว่า
               ดูก่อนมฆเทวะผู้เขลา เจ้าไม่อาจละกิเลสเหล่านี้ จนตราบเท่าผมหงอกเกิดขึ้น.
               เมื่อพระเจ้ามฆเทวะนั้นทรงรำพึงถึง ผมหงอกที่ปรากฏแล้ว
               ดูก่อนพ่อ ผมหงอกปรากฏบนศีรษะของพ่อแล้ว พ่อเป็นคนแก่แล้ว
               พระราชาทรงถือผมหงอก ตรัสพระคาถานี้แก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า
               บทว่า อิเม ชาตา วโยหรา ความว่า พ่อทั้งหลาย จงดูผมหงอกเหล่านี้เกิดแล้ว ชื่อว่าเป็นเหตุนำเอาวัยไป
               เพราะนำเอาวัยทั้ง ๓ ไป โดยภาวะปรากฏผมหงอก.
               จริงอยู่ เมื่อผมหงอกทั้งหลายปรากฏบนศีรษะ บุคคลย่อมเป็นเหมือนยืนอยู่ในสำนักของพญามัจจุราช
               เพราะฉะนั้น ผมหงอกทั้งหลายท่านจึงเรียกว่า ทูตของเทวะ คือมัจจุ ที่ชื่อว่า เทวทูต เพราะเป็นทูตเหมือนเทวะ ดังนี้ก็มี
               ท่านจักตายในวันชื่อโน้น ฉันใด เมื่อผมหงอกทั้งหลายปรากฏแล้วบนศีรษะ
               เพราะฉะนั้น ผมหงอกทั้งหลาย ท่านจึงกล่าวว่า เป็นทูตเหมือนเทพ
               โดยปริยายนี้ ผมหงอกทั้งหลาย ท่านจึงเรียกว่าเทวทูต

 
               อรรถกถา สุสีมชาดก
               ว่าด้วย พระเจ้าสุสีมะออกผนวช
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1079&p=1&h=ผมหงอก#hl

               ประทับยืน ประทับนั่ง และทรงบรรทมแต่ลำพังพระองค์เดียว แต่พระราชาพระองค์นี้เป็นคนหนุ่ม ส่วนเราเป็นคนแก่ ผมหงอกปรากฏบนศีรษะของเรา
               พระราชาตรัสว่า ข้าแต่นางผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอเธอจงถอนผมหงอกเส้นนั้นมาวางไว้บนมือของฉัน.
               ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผมหงอกของหม่อมฉันเอง ไม่ใช่ของพระองค์
               ผมหงอกงอกขึ้นบนศีรษะ บนกระหม่อมของหม่อมฉันเอง
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มเมว สีสํ ความว่า พระราชินีทรงแสดงว่า ผมหงอกงอกขึ้นบนศีรษะของหม่อมฉันเอง.

อรรถกถา ๒๘ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒

               อรรถกถา เนมิราชชาดก
               ว่าด้วย พระเจ้าเนมิราชทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=525&p=1&h=ผมหงอก#hl

               มีพระราชดำรัสกะเจ้าพนักงานภูษามาลาว่า เมื่อใดเจ้าเห็นผมหงอกในศีรษะเรา เจ้าจงบอกข้าเมื่อนั้น.
               ผมหงอกที่งอกบนศีรษะของพ่อนี้ นำความหนุ่มไปเสีย เป็นเทวทูตปรากฏแล้ว คราวนี้จึงเป็นคราวที่พ่อจะบวช.
               ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ก็อภิเษกพระราชโอรสในราชสมบัติ แล้วพระราชทานพระโอวาทว่า แม้ตัวเธอเห็นผมหงอกอย่างนี้แล้ว ก็พึงบวช.

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒

               อรรถกถา เนมิราชชาดก
               ว่าด้วย พระเจ้าเนมิราชทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=525&p=3&h=ผมหงอก#hl

               ผมหงอกที่งอกขึ้นบนเศียรของพ่อเหล่านี้ เกิดแล้วก็นำความหนุ่มไปเสีย เป็นเทวทูตปรากฏแล้ว สมัยนี้จึงเป็นคราวที่พ่อจะบวช.

            

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2563

พระปัจเจกไม่ได้เป็นใบ้ พระอนาคามีพรหมยุคพระพุทธเจ้ากัสสปะเช่นกัน แต่ท่านพูดอริยสัจแล้วคนฟังไม่บรรลุเท่านั้นเอง คำของท่านเลยไม่เป็นอริยสัจ

อนึ่ง คนที่สามารถเริ่มบัญญัติอริยสัจให้คนอื่นบรรลุได้ มีเฉพาะพระพุทธเจ้าเป็นคนแรกของยุคเท่านั้น.

แต่อยากให้มองมุมนี้ด้วยว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระอนาคามีอริยะ จะกล่าว "อริยสัจ" ไม่ได้เลย, เช่นเดียวกับพระปัจเจกอริยะ เพราะท่านเหล่านี้ไม่ได้เป็นใบ้. #แต่ที่ท่านไม่อาจทำให้คนอื่นบรรลุได้ เพราะท่าน #ไม่มีความสามารถบัญญัติ คำที่ทำให้คนอื่นบรรลุได้ (ขุ.ปฏิ.อ.) เนื่องจากการจะรู้คำที่เหมาะสมแก่คนอื่นจะต้องสะสมบารมีร่วมกันมายาวนานมาก และเมื่อคนพวกนั้นไม่ได้สั่งสมบารมีมาเพื่อบรรลุกับท่านเขาก็จะไม่บรรลุเมื่อฟังธรรมจากปากพระปัจเจกอริยะ เป็นต้น (ขุ.อปทาน).

กล่าวง่ายๆ คือ พูดเหตุผลได้ รู้ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค แต่พูดแล้วคนฟังไม่บรรลุ ก็ไม่เป็นอริยสัจนั่นเอง.


ที่มาของคำว่า อริยสัจ ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เกี่ยวข้องกับลักขณสูตร อย่างไร? (#วิธีสวดธรรมจักรอย่างเข้าใจ1)

เรื่องมหาปุริสลักษณะ ในลักขณสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ โดยนำมาจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์นี้ ในอรรถกถาทั้งหลายอธิบายว่า "พระอนาคามีพรหมยุคพระพุทธเจ้ากัสสปะ ลงมาบอกมาหาปุริสลักษณะกับฤๅษีไว้ เพื่อให้ทราบเวลาพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น" ตอนที่บอกอย่างนี้นั้นไม่มีใครบรรลุ.   ถามว่า ฤๅษีที่ฟังคือใคร? ตอบว่า ฤๅษีคือ ชนชาวอริยะที่ออกบวชเข้าป่าแล้วทำฌานตามคำสอนของพระพรหม ในอรรถกถาหลายแห่งกล่าวว่า เมื่อแก่ตัวคนสมัยนั้นจะออกบวชฤๅษีกัน แล้วทำฌาน เพื่อที่จะได้ไปอยู่กับพระพรหม บนพรหมโลก ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับผู้ทำฌานเท่านั้น จึงจะไปเกิดได้.
ทีนี้ฤๅษีชาวอริยะนี้ ก็เลยเรียกตัวเองว่า พราหมณ์ แปลว่า "ลูกพระพรหม (เพราะเกิดจากคำสั่งสอนจากพระโอษฐ์ของอนาคามีพรหม)".  เราจะเจอคำนี้ได้ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาหลายแห่ง หรือแม้แต่นักเรียนบาลีเอง ก็จะต้องเคยเรียนคำว่า พราหมณ์ มาจากโคตรตัทธิต แปลว่า เหล่ากอแห่งพระพรหม.
พวกปัญจวัคคีย์พราหมณ์ จึงรู้กันว่า อริยสัจ นั้นแปลว่า วาจาสัตย์ที่ฤาษีชาวอริยะได้เรียนจากพระพรหม. เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า วาจาสัตย์นั้น เอามาใช้อย่างไรจึงจะบรรลุ และเนื่องจากฤาษีที่รับตำรามาจากอนาคามีพรหมก็ไม่ได้บรรลุมรคผล,  พอปุถุชนบอกต่อๆกันมาเป็นหลายพันปี (นักประวัติศาสตร์โลกกล่าวว่า ตำราพราหมณ์มีอายุไม่ต่ำกว่า 5000 ปี) ตำราพราหมณ์ก็ยิ่งเลอะเลือนถึงขั้นมีคาถาอาคม (อาถัพพนเวท).
เพราะเหตุนี้แหละ  พระปัญจวัคคีย์จึงรู้จักคำว่าอริยสัจทันที โดยที่ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรไม่ต้องอธิบายความไว้เลย. เพราะพระปัญจวัคคีย์คือพราหมณ์ที่ออกบวชมาก่อน ก็เพื่อติดตามดูแลพระโพธิสัตว์ให้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า แน่นอนว่าในระหว่างนั้นท่านก็ต้องทำฌานของพวกฤาษี รวมถึงได้รับการอบรมสั่งสอนศีลสมาธิจากพระโพธิสัตว์ด้วย ซึ่งก็คือทำมรรคมีองค์ 7 (เว้นสัมมาทิฏฐิ) มาก่อนนั่นเอง.
ส่วนพวกเรานั้น ส่วนใหญ่ไม่อาจเข้าใจคำว่าอริยสัจทันทีแบบพระปัญจวัคคีย์นั้นได้. จริงๆก็มีวิธีจะเข้าใจ คือ พวกเราก็ต้องท่องจำ พระสูตรและอรรถกถาหลายแห่ง กว่าจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ได้. ซึ่งวัฒนธรรมนี้เริ่มสาบสูญไปจากไทยเมื่อร้อยปีที่แล้ว ในยุคที่ไทยมีสงครามต่อเนื่องยาวนาน. ทั้งๆที่จริงๆพระวินัยบังคับให้ต้องท่องจำเพิ่มขึ้นตามวัยด้วย แต่เพราะสงคราม วัฒนธรรมนี้เลยเลื่อนหายไป. เราในฐานะพุทธบริษัทจึงต้องร่วมมือกันฟื้นฟูขึ้นมาใหม่.
และนี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่า ทำไมเราฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแล้วไม่บรรลุทันที เพราะแค่ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เราก็เอาบาลีมาหมุนนัยตามเนตติปกรณ์ไม่เป็นแล้ว, อย่างนี้เราจะไปมีกำลังใจที่ไหนในการจะท่องจำพระไตรปิฎกและอรรถกถากันเล่า? ฉะนั้น ถ้าคนเรียนอภิธรรมควรจะต้องทำสมถะให้เห็นสภาวะได้ฉันใด, คนเรียนบาลีก็ควรจะต้องท่องจำแล้วแยกแยะพระสูตร ที่เทสนาไว้เป็นบาลี ออกเป็นบท 12 แล้วเข้าวิจัยด้วยหาระ 16  ใช้นยะ 5 นำอรรถะออกมาจากพระสูตรให้ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
การทำสมถะตามตำรา การทรงจำพระบาลีตามหลักเนตติปกรณ์,  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยขาดแคลนและต้องพัฒนาอย่างเร่งด่วน. และสิ่งนี้ไม่ใช่แค่หน้าที่ของมหาเปรียญ, แต่พุทธบริษัทสามารถร่วมด้วยช่วยกันคนละไม้คนละมือได้  ด้วยการท่องจำพระสูตรทั้งบาลีและแปลด้วยอย่างเข้าใจ แล้วอัดเผยแพร่สรรเสริญคุณค่าของการสวดมนต์ด้วยความเข้าใจและนำมาใช้ได้จริง #ตามหลักเนตติปกรณ์. เมื่อเราพากันทำอย่างนี้ จิตของพุทธบริษัทก็จะน้อมไปในการเข้าใจพระบาลีและนำมาใช้, ไม่ใช่เพียงแต่สวดโดยที่ไม่รู้ความหมาย. เมื่อทำอย่างนี้ ปริยัติศาสนาก็จะตั้งมั่น, แล้วต่อไปปฏิสัมภิทามรรคจะเป็นตำราที่อ่านง่ายและคนนิยมเรียนมาก อภิธรรมก็เช่นกัน เพราะพอรู้หลักเนตติปกรณ์แล้ว ตำราเหล่านี้เรียนง่ายๆ ใช้ปฏิบัติได้ครบวงจร แล้วยังเอาไปทำความเข้าใจพระสูตรได้อย่างละเอียดมากๆ อีกด้วย.
อนึ่ง คนที่สามารถเริ่มบัญญัติอริยสัจให้คนอื่นบรรลุได้ มีเฉพาะพระพุทธเจ้าเป็นคนแรกของยุคเท่านั้น.
แต่อยากให้มองมุมนี้ด้วยว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระอนาคามีอริยะ จะกล่าว "อริยสัจ" ไม่ได้เลย, เช่นเดียวกับพระปัจเจกอริยะ เพราะท่านเหล่านี้ไม่ได้เป็นใบ้. #แต่ที่ท่านไม่อาจทำให้คนอื่นบรรลุได้ เพราะท่าน #ไม่มีความสามารถบัญญัติ คำที่ทำให้คนอื่นบรรลุได้ (ขุ.ปฏิ.อ.) เนื่องจากการจะรู้คำที่เหมาะสมแก่คนอื่นจะต้องสะสมบารมีร่วมกันมายาวนานมาก และเมื่อคนพวกนั้นไม่ได้สั่งสมบารมีมาเพื่อบรรลุกับท่านเขาก็จะไม่บรรลุเมื่อฟังธรรมจากปากพระปัจเจกอริยะ เป็นต้น (ขุ.อปทาน).
กล่าวง่ายๆ คือ พูดเหตุผลได้ รู้ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค แต่พูดแล้วคนฟังไม่บรรลุ ก็ไม่เป็นอริยสัจนั่นเอง.
สรุป1 อริยสัจ คือ #คำของฤๅษี ใน #แคว้นของชาวอริยะ (อารยัน) ที่ได้ฟังมหาปุริสลักษณะ #เป็นต้น จากปากของพระพรหม. ฤๅษีจึงเรียกตัวเองว่า พราหมณ์. เหตุที่ในอรรถกถากล่าวถึงแต่มหาปุริสลักษณะ แต่ผมใช้คำว่าเป็นต้น เพราะเรื่องวงจรโลกพังโลกเกิดใหม่ ที่กล่าวไว้ในพระสูตรว่า สังวัฏฏกัปป์วิวัฏฏกัปป์ เป็นต้น ก็มาในพระเวทเช่นกัน ครับ. นั่นแสดงว่า พระพรหมไม่ได้บอกแค่มหาปุริสลักษณะ, เพียงแต่ว่า ฤๅษีไม่มีความสามารถจะเข้าใจได้ทั้งหมด และพระอนาคามีต่างยุค ก็ไม่มีความสามารถจะแสดงอริยสัจให้คนอื่นบรรลุได้ ซึ่งน่าจะมาจากหลายสาเหตุ.
สรุป2 การทำสมถะตามตำรา การทรงจำพระบาลีตามหลักเนตติปกรณ์,  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยขาดแคลนและต้องพัฒนาอย่างเร่งด่วน.


วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2563

ถาม: ไม่อยากบวชให้พ่อแม่ทำอย่างไร? ตอบ: อยู่ที่ว่าเราใจกว้างแค่ไหน

ถาม: #ไม่อยากบวชให้พ่อแม่ทำอย่างไร?
ตอบ: อยู่ที่ว่าเราใจกว้างแค่ไหนครับ. 
1. #ถ้าเราใจแคบหน่อย พัฒนาตัวเอง ให้มีความสุขในหลายๆแบบไม่ได้ มีมุมมองจำกัดอยู่แต่ความสุขในแบบที่ตัวเองคิดว่าดี, เราก็ใช้วิธีอยู่ห่างๆท่าน อย่าไปรบกวนท่านมาก อย่าไปให้ท่านเห็นหน้า. อาจจะไปทำงานต่างบ้านต่างเมืองก็ได้.
แค่นี้ท่านก็ไม่กล้าว่าอะไรแล้ว ท่านก็กลัวจะไม่ได้เจอคุณ ท่านก็จะไม่กล้าจ้ำจี้จ้ำไชมาก.
แล้วก็ไม่ต้องไปแคร์ท่านมาก เพราะถ้าแคร์มากคุณก็จะเสียใจ ในเมื่อเราใจไม่กว้างพอ จะรักษาความสุขส่วนตัวไว้ ก็ต้องไม่แคร์คนอื่นมาก เดี๋ยวจะเสียความสุขส่วนตัว. ต่อให้เป็นพ่อแม่ก็ตาม. ถ้าคุณทำให้มันเป็นความสุขได้ด้วยการคิดอย่างนี้ คุณก็จะไม่ข้องใจใดๆทั้งสิ้นที่จะทำ. ส่วนชาติหน้าจะมีหรือไม่มีหรือไม่ ก็รอดูตอนตายแล้วกัน.
2. #ถ้าเราใจกว้างหน่อย. ถ้าเราอยากให้คนอื่นมีความสุขมากๆ ในแบบที่เขาต้องการ โดยเฉพาะถ้าสิ่งนั้นมันยังมีข้อดีอยู่บ้าง (ถ้าเขาอยากให้เราเล่นยา กินเหล้า อันนี้ไม่ต้องไปแคร์ไปสนเลย เพราะเขาพาเราลงนรก).  เราก็จะหาวิธีทำใจให้ตัวเองมีความสุขด้วย แรกๆก็จะยาก พ่อทำเป็นก็จะง่าย, จะมีความสุข ในการที่ได้ให้ความสุขแก่พ่อแม่ ในแบบที่ท่านต้องการ.
ถ้าเราไม่สามารถทำใจให้กว้างได้ขนาดนั้นจริงๆ เป็นคนมีมุมมองแคบ เราก็แค่หนีไปไกลๆไปทำงานไกลไกล ท่านก็เห็นใจแล้ว.
แล้วเราก็อยู่ห่างๆท่าน อย่าไปรบกวนท่านมาก อย่าไปให้ท่านเห็นหน้า.
แค่นี้ท่านก็ไม่กล้าว่าอะไรแล้ว ท่านก็กลัวจะไม่ได้เจอคุณ ท่านก็จะไม่กล้าจ้ำจี้จ้ำไชมาก.

เมตตาเหมาะกับใคร

เมตตาจะเหมาะกับคนโกรธง่าย... เห็นนักการเมืองก็หงุดหงิด, เห็นพ่อแม่ก็หงุดหงิด, ข้อความยาวหน่อยก็หงุดหงิด  เป็นต้น. แต่เป็นกรรมฐานที่ฝึกยากป...