วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

รักษาศีล แค่ 1-2 ครั้ง, อย่างนี้ ยังไม่อาจเรียกว่า "ท่านได้พยายามแล้ว"

ถ้าท่านพยายามรักษาศีล แค่ 1-2 ครั้ง แล้วก็เลิกล้มไป เพราะศีลไม่สมบูรณ์, อย่างนี้ #ยังไม่อาจเรียกว่า "ท่านได้พยายามแล้ว" เพราะศีล คือ สิ่งที่ทำเป็นปกติ เป็นเนืองนิจ ทำครั้งสองครั้ง เรียกว่าศีลไม่ได้. 

แต่เมื่อท่านพยายามรักษาศีลอยู่เป็นกิจวัตร อย่างต่อเนื่องไปจนตลอดชีวิต แต่มันก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่, อย่างนี้ คือ "ท่านพยายามแล้ว" #แค่มันยังไม่สำเร็จสมบูรณ์เท่านั้นเอง. ดุจการสร้างตึก ถ้าท่านแค่นึกร่างโครงไว้ในหัว ครั้งสองครั้ง อย่างนี้ ยังไม่เรียกว่า สร้างตึก, ต่อเมื่อท่านซื้อที่ ลงเสา ไปแล้วนั่นแหละ จึงจะเรียกว่า ท่านได้พยายามสร้างตึกไปแล้ว ฉันนั้น.

#ข้ออ้าง มีไว้เพื่อใช้ปรับปรุง ศีลและธรรม ที่ #กำลังรักษาอยู่, #ไม่ได้มีไว้เลื่อนเวลา รักษาศีลและธรรม #ที่ไม่เคยรักษา

#ข้ออ้าง มันมีไว้เพื่อใช้พัฒนาปรับปรุง ศีลและธรรม ที่ #กำลังรักษาอยู่, มัน #ไม่ได้มีไว้เลื่อนเวลา รักษาศีล รักษาธรรม #ที่ไม่เคยรักษา.
ถ้าท่านไม่เริ่มรักษาศีลและธรรมตั้งแต่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้...
ข้ออ้างของท่านมันก็เป็นแค่... ข้ออ้างของคนที่ไม่เคยมีศีลและธรรม... เป็นแค่การอ้างอิงเพื่อถกเถียงเพื่อเอาชนะคนอื่น... และเป็นแค่คำพูดเพื่อที่จะไม่ต้องรักษาศีลและธรรมของคนที่ไม่มีศีลและธรรม ก็เท่านั้นเอง.

#รักษาศีล #ปฏิบัติธรรมกันเถอะ

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

ต้องเข้าใจในอุจเฉททิฏฐิ และสัสตทิฏฐิให้ได้ก่อน วิปัสสนาจึงจะเริ่มเป็นภาวนา

คนที่ปฏิบัติธรรมตามพระไตรปิฎกถูกต้อง ภาวนาจะเริ่มเข้าสู่วิปัสสนาได้ ต้องเข้าใจในอุจเฉททิฏฐิ และสัสตทิฏฐิ เพราะมันคือการเข้าใจปฏิจจสมุปบาท ที่ใช้พิจารณาในอุทยัพพยญาณ ครับ. หลังจากนั้นไป ก็จะเข้าสู่วิปัสสนาภาวนาได้ ปฏิสัมภิทามรรค จึงกล่าวว่า ภังคญาณ คือ วิปัสสนาญาณ. ซึ่งภังคญาณ เป็นญาณที่ต้องเข้าใจสัสสตทิฏฐิ และ อุจเฉททิฏฐิมาก่อนแล้ว ตั้งแต่ตรุณอุทยัพพยญาณก่อนเกิดวิปัสสนูปกิเลสเสียอีกครับ.

ดูในวิสุทธิมรรค มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ตอนอุทยัพพยญาณกถา.

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

ที่โมจตุกกเจตสิกมี 4 ดวง เพราะโมหะไม่รู้จักบุญบาป จึงมีอหิริกะ อโนตตัปปะ และอุทธัจจะพ่วงด้วยเสมอ

เพราะโมหะ คือ ความไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้ลำดับเหตุผล.
เหตุผลตามลำดับ คือ ปฏิจจสมุปบาท.
บาปบุญ คือ สังขารปฏิจจสมุปบาท.
โมหะ คือ ความไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท.
ฉะนั้น โมหะไม่รู้จักบุญบาป, คือ โมหะไม่รู้จักสังขารปฏิจจสมุปบาทด้วย.

เมื่อไม่รู้จักบุญบาป ก็ไม่ละอายบาป(อหิริกะ) ไม่กลัวบาป(อโนตตัปปะ) ฟุ้งซ่านไปทำบาปต่างๆ (อุทธัจจะ).

เหตุนี้แหละ เมื่อเกิดโมหะ จึงต้องมีอหิริกะ อโนตตัปปะ และอุทธัจจะ เกิดด้วยเสมอ.

และเพราะเหตุที่โมหะไม่รู้จักเหตุผล(ปฏิจจสมุปบาท)นี้เอง โมหะมูล คืออวิชชา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิจจสมุปบาท เพราะทำให้เกิดบุญบาปฝ่ายเวียนว่ายในวัฏฏะ คือ สังขารปฏิจจสมุปบาท.

ยุคนี้เบาแล้ว

ยุคนี้เบาแล้ว ย้อนไปก่อนจะมีพระพุทธเจ้า  ดูประวัติศาสตร์โลกก็ได้โหดร้ายขนาดไหน, เดี๋ยวพอหมดยุคของพระพุทธเจ้านะ  โคตรหนักแน่นอน 😊  ไม่งั้นจะ...