เจตสิกไม่มีสภาพรู้, จิต เจตสิก เป็นสภาพที่มีอารมณ์ (อารัมมณิกะ) ไม่ได้มีสภาพรู้อารมณ์ (วิญญาณ), ไม่ได้มีสภาพจำอารมณ์ (สัญญา) และไม่ได้มีสภาพแทงตลอดอารมณ์ (ปัญญา).
เจตสิกทุกดวง มีอารมณ์เป็นปัจจัย จึงเป็นสารัมมณธรรม (ธรรมที่มีอารมณ์) เช่นเดียวกับจิต ทั้งสองจึงมีสัมปยุตตลักษณะข้อที่ว่า มีอารมณ์เดียวกัน ได้.
แต่ไม่มีเจตสิกดวงไหนที่มี "วิชานนลักขณะ" (ลักษณะที่รู้แจ้งอารมณ์) อย่างจิต, ฉะนั้น จะกล่าวว่า "เจตสิกรู้อารมณ์เดียวกันกับจิต" ไม่ได้เด็ดขาด เพราะขัดกับ ลักขณาทิจตุกะ.
เป็นความผิดพลาดขั้นร้ายแรง เพราะผิดที่เรื่องพื้นฐาน และไม่มีอรรถกถา ฏีการองรับ, ทำให้การเรียนอภิธรรมเกิดความสับสน, และขัดกับการปฏิบัตินามรูปปริจเฉทญาณ, การทำฆนวินิพโภคะตามวิสุทธิมรรค.
ที่ใช้สอนๆ กันอยู่ในตอนนี้ว่า "จิตรู้อะไร เจตสิกก็รู้อันนั้น" ไม่มีในพระไตรปิฎก อรรถกถา มีแต่ "จิตมีอารมณ์อะไร เจตสิกก็มีอารมณ์นั้น". (ฉบับแปลอาจจะแปลคลุมเครือบ้าง แต่ถ้าย้อนไปดูบาลี มั่นใจว่าไม่ได้แปลเช่นนั้นแน่ๆ).
ในสังคหะ ป. 6 ก็มีแค่ว่า "สพฺพญฺจ ปเนตํ รูปํ อเหตุกํ สปฺปจฺจยํ สาสวํ สงฺขตํ โลกิยํ กามาวจรํ อนารมฺมณํ อปฺปหาตพฺพเมวาติ เอกวิธมฺปิ อชฺฌตฺติกพาหิราทิวเสน พหุธา เภทํ คจฺฉติฯ" จะเห็นได้ว่า มีแค่อนารัมมณัง ไม่มีอวิญญาณัง.
แต่ละเจตสิกมีลักษณะ กิจ สัมปัตติ ปัจจุปัฏฐาน ปทัฏฐานของเขา อย่าให้ปนกัน จะอ่านอรรถกถาเรื่องวิปัสสนาญาณแรกสับสนยากขึ้นทันที.
อันนี้ เป็นความแปลง่ายๆ กันจนเคยชิน แต่จะทำให้อ่านอรรถกถาภาษาบาลีแล้วกำกวม เข้าใจยาก ต้องแก้ไขวิธีสอนกัน.
อุปมา
จะอุปมาให้เข้าใจชัดเจน ก็เหมือน คนที่มีรถคันเดียวกัน ก็มีคนขับเพียงคนเดียว คนนั่งเบาะข้างคนขับคนเดียว คนนั่งเบาะหลังซ้าย เบาะหลังขวา อย่างละคน. แต่ทุกคนนั่งรถคันเดียวกัน. การนั่งรถคันเดียวกัน จึงไม่ได้มีตรงไหนสื่อเลยว่า ทุกคนต้องเป็นคนขับรถ. ทุกคนล้วนเป็นคนละคนกันอยู่ดี นั่งคนละตำแหน่ง ทำคนละอย่าง ในรถคันเดียวกันนั่นแหละ.
จิตเหมือนคนขับรถมีหน้าที่รู้อารมณ์, เจตสิกแต่ละดวงเหมือนคนอื่นๆ บนรถ, รถเหมือนอารมณ์, คนทุกคนบนรถ ไม่ใช่คนๆเดียวกัน แม้จะนั่งบนรถ คือ อารมณ์เดียวกัน, แต่คนอื่นบนรถก็ไม่ได้มีหน้าที่ขับรถ คือ ไม่ได้มีหน้าที่รู้อารมณ์แบบจิต ถึงมีหน้าที่นั่งในรถเหมือนๆกัน คือ มีอารมณ์เดียวกันนั่นเอง, แต่มีสภาพ มีกิจของตนต่ออารมณ์ต่างๆ กัน.
ข้อเสียของการเข้าใจผิดในเรื่องนี้
- ไม่สามารถแยกจิตออกจากเจตสิกได้ด้วยปริยัติในภาษาไทย เพราะสัมปยุตลักษณะมีไว้แสดงกิจร่วมด้วยช่วยกันของนามธรรม, แต่ลักขณาทิจจตุกะมีไว้แสดงกิจแยกกันของนามธรรม. เมื่อนำกิจแยกไปแปลเป็นกิจร่วม (แปล สารัมมณะ ว่า "รู้"อารมณ์) ความต่างกันก็จะไม่สามารถปรากฎชัดด้วยปริยัติ.
- คำว่า แยก แปลได้ว่า วิภาค, วิภังค์, ปริจเฉท, ปริจฺฉินฺน, วิภชฺช, วินิพฺโภค, กำหนด, กำหนดตัด
- อภิธรรมส่วนใด ที่มีคำแปลข้างต้น และแสดงนามธรรมไว้, อภิธรรมส่วนนั้น มีโอกาสเข้าใจผิดพลาด หรือ ไม่ชัดเจน หรือคลุมเคลือ เพิ่มขึ้น.
- ตัวอย่างความไม่ปรากฎชัด "จิตรู้อารมณ์ = เจตสิกรู้อารมณ์ ต่างกันอย่างไร?" ทั้งๆ ที่บาลีต่างกันอยู่แล้ว ไม่ควรต้องถาม คือ "(จิตฺตํ = อารมฺมณวิชานนลกฺขณํ) != (เจตสิกํ = เจโตยุตฺตลกฺขณํ)"
- อาจเข้าใจผิดในนามปริจเฉทตามทิฏฐิวิสุทธินิทเทส, นามวินิพโภคะตามมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธนิทเทส.
สรุปว่า...
ไม่จำเป็นต้องถามว่า "จิตรู้อารมณ์ ต่างจาก เจตสิกรู้อารมณ์ อย่างไร?"
เพราะบาลีข้างล่างนี้ แสดงไว้แล้วว่า จิตเท่านั้นที่รู้อารมณ์ เจตสิกไม่ใช่สภาพรู้อารมณ์ ฉะนั้น ที่ถามว่า "เจตสิกรู้อารมณ์ อย่างไร” จึงเป็นคำถามที่ผิดสภาวะ.
บาลีที่ว่า:
- จิตฺตํ = อารมฺมณวิชานนลกฺขณํ
- เจตสิกํ = เจโตยุตฺตลกฺขณํ
อนึ่ง สัมปยุตลักษณะในบาลี บอกแค่ว่า "เจตสิกมีอารมณ์เดียวกันกับจิต” ไม่ได้บอว่า "เจตสิกรู้อารมณ์”