จริงๆ แล้ว ศีล 4 ข้อของศีล 8 ต่างหาก
ที่ปาปถึงขั้นทำให้ตกนรก,
เพราะศีล 4 ข้อนั้น คือ ศีล 5 นั่นเอง,
การผิดศีล 5 นี่แหละที่บาปถึงขั้นทำให้ตกนรก
แต่คนส่วนใหญ่กลับไปเข้าใจว่า
ผิดศีล 8 จะบาปทำให้ตกนรก,
ซึ่งมันไปกั้นจิตใจให้ไม่กล้ารั
บ่อยๆ ครับ.
----อธิบายอย่างละเอียดตามหลักอ
เวลาความคิดพวกนี้เกิด
ในคนที่ไม่ฉลาด จะมีมิจฉาทิฏฐิ
ศีลพตปรามาส วิจิกิจฉา เกิดสลับกันไป.
เพราะเวลาจิตคิด มันจะคิดเหมาว่า
"ศีล 8 ไม่ควรรักษาบ่อยๆ" ซึ่งมันจะเหมาเอาศีล 5
ที่อยู่ในศีล 8 ไปด้วย ทำให้ขัดกับ
หลักปฏิจจสมุปบาทฝ่ายข้างดับปัจ
เพราะปัจจัยดับไม่ได้
ถ้าไม่มีศีล 5 เป็นฐานตั้งมั่นของสมถะวิปัสสนา
ส่วนในคนที่ฉลาดขึ้นมาระดับหนึ่
ก็จะแยกแยะศีล 5 กับศีล 8 ออกจากกันได้
จากการอ่านโพสต์นี้ แต่ก็จะมีอุปนิสสยปัจจัย
(อกุสลา ธัมมา กุสลัสสะ ธัมมัสสะ
อุปนิสสยปัจจเยนะ ปัจจโย)
จากมิจฉาทิฏฐิ วิจิกิจฉา ศีลัพพตปราส
มาทำให้เกิดความคิดขึ้นอีกว่า
"เรารักษาได้แต่ศีล 5 ในตอนนี้, ศีล 8 ยังไม่พร้อม
, เดี๋ยวจะเป็นโคปาลกอุโบสถ"
ความคิดนี้ จะพบว่า ครึ่งแรกญาณสัมปยุต,
ครึ่งหลังเป็นอกุศล.
ทำไมความคิดครึ่งหลังจึงเกิดขึ้
เพราะไม่ฉลาดในเป้าหมายของศาสนา
ที่ว่า "ปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น บรรลุนิพพาน"
ถ้าเอาตามหลักนี้ จะ ศีล 5 หรือ ศีล 8
มันก็เป็นโคปาลกศีลได้ทั้งนั้น
ถ้าคุณไม่ได้ปฏิบัติเพื่อบรรลุม
ด้วยความไม่ฉลาดตรงนั้น ก็จะทำให้สำคัญผิดว่า
"ศีล 8 เท่านั้นเป็นโคปาลกะ, ศีล 5 ไม่เป็นโคปาลกะ"
พอไปผนวกกับอุปนิสสยปัจจัยที่กล
ก็ทำให้คนที่ฉลาดสำคัญไปได้ว่า "เรารักษาได้แต่ศีล 5
ในตอนนี้, ศีล 8 ยังไม่พร้อม, เดี๋ยวจะเป็นโคปาลกอุโบสถ".
ซึ่งครึ่งหลังนี้ ถ้าตัดเรื่องโคปาลกะไป
คิดเพียงแต่ "ศีล 8 ยังไม่พร้อม" ยังเป็นกุศลได้อยู่,
แต่ถ้าคิดเรื่องโคปาลกะโดยวิธีข
ด้วยโลภะว่า "เป็นอย่างนี้แหละ คือ ศีล 8
เท่านั้นเป็นโคปาลกะ" อย่างนี้
เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะโลภะ ถือเอาสิ่งที่ผิดสภาวะ
เป็นอารมณ์ คือ เหตุกับผลไม่สอดคล้องกัน.
ซึ่งต่างจากเรื่องกัลยาณมิตรของ
ที่ท่านเพียงแต่ชั่งน้ำหนักไม่ถ
กัลยาณมิตรสำคัญต่อพรหมจรรย์เท่
แต่ท่านไม่ได้ปฏิเสธความสำคัญขอ
ซึ่งถ้าเป็นผู้ไม่ฉลาดก็เป็นทิฏ
เพราะอาจพูดเพื่อยกตน อวดตน หรือ
ชื่นชอบในความคิดนี้และสิ่งที่เ
นี่ยังไม่รวมถึง การกลัวผิดสัจจวาจาอธิษฐาน
ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว คนที่ไม่พยายามสมาทานศีล 8
เป็นคนไม่มีสัจจะเลยต่างหาก,
การพยายามสมาทานศีล 8 คือ
การพยายามริเริ่มจะมีสัจจะใหม่ๆ
มันไม่ได้ทำให้สัจจะที่มีอยู่เด
และสัจจะใหม่ คือ ศีล 3 ข้อหลัง
และอพรัหมจริยเวรมณิ ก็ไม่ใช่สัจจะที่มีอยู่แล้ว
ดังนั้น การไม่รักษาเลยนั่นแหละ จึงเป็นการ
ไม่มีสัจจะวาจาอธิษฐานรักษาศีล 8 คือ ขาดศีล 8
ไปโดยสมบูรณ์ ส่วนการพยายามรักษา
แม้จะขาดไปบ้าง ก็ยังไม่ใช่การขาดแบบสมบูรณ์
เป็นการขาดชั่วครั้งชั่วคราวเท่
คือ เสียสัจจะแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเ
การรักษาแล้วขาดไปบ้าง
จึงดีกว่าการไม่รักษาศีล 8 เลยเห็นๆ
เพราะอย่างน้อยๆ ก็ยังมีศีล 8 บ้าง
ไม่ใช่ไม่มีเลย ไม่เคยเลย
และไม่เป็นการผิดสัจจวาจาเลยครั
ฉะนั้น พยายามรักษาศีล 8 กันบ่อยๆ เถอะครับ,
ได้มากกว่าเสียแน่นอน.