วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

การแชร์ประจาน มี 2 อย่าง แชร์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ กับ แชร์มุ่งประทุษร้าย

การแชร์ประจาน มี 2 อย่าง แชร์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ กับ แชร์มุ่งประทุษร้าย.
ในการแชร์ 2 อย่าง แชร์เพื่อประทุษร้าย มีโทษ. 
ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้า ยกชาดกเกี่ยวกับพระเทวทัศมาแสดง จะเห็นได้ว่า เป็นการประจาน แต่ไม่มุ่งประทุษร้ายเลย เป็นเพียงแต่อุทาหรณ์เท่านั้นครับ.
ฉะนั้น การแชร์แบบนี้ ไม่เป็นผรุสวาจา เพราะเมื่อพิจารณาโดยลักษณะของจิตที่กระทำแล้วไม่มีโทสะประทุษร้ายในอารมณ์(อารมณ์ในที่นี้ คือ ผู้ถูกกล่าวถึง) ครับ.

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

ปรมัตถ์ ไม่ได้แปลว่า ประเสริฐ เว้นแต่จะใช้กับกุศล หรือวิบากของกุศล หรือนิพพาน เท่านั้น.

ตรงนี้ต้องแก้นะครับ แปลผิดพลาดร้ายแรงมาก.
ปรมัตถ์ มี ๒ ความหมาย 
๑) สภาวะที่ประเสริฐ คือไม่วิปริต
วิ. ปรโม (อุตฺตโม อวิปรีโต) อตฺโถ ปรมตฺโถ
..............................
อุตฺตมตรงนี้ ไม่แปลว่าประเสริฐ ครับ.
ประเสริฐมาจาก เสฏฺฐ ซึ่งในบาลีแม้จะใช้ในหลายความหมาย แต่ในภาษาไทย มีความหมายไปในทางดี งาม เป็นกุศล หรือวิบากของกุศล หรือนิพพานเท่านั้น ครับ.
อุตฺตมตรงนี้ แปลว่า ที่สุด, ไม่สามารถมากไปกว่านี้ได้ มีแค่นี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงจะสอดคล้องกับ คำขยายที่ว่า อวิปรีตะ. ซึ่งจะเป็นที่สุดของสิ่งที่ดี (ประเสริฐ) หรือ ชั่ว (ไม่ประเสริฐ) ก็ตาม ก็เป็นปรมัตถ์ มีขอบเขตสุดรอบของตัวเองให้จิตเข้าไปกำหนดรู้ สัญญาเข้าไปจดจำ ให้จิตเจตสิกเข้าไปทำกิจกับตนเอง ให้ปัจจัยยังตนเองให้เกิดได้ ให้เกิดปัจจยุปบันของตนเองได้เหมือนๆ กัน ตามขอบเขต ตามที่สุดของตน ตามความไม่วิปริต ไม่เปลี่ยนแปลง มีขอบเขตของตนเอง ครับ.

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ตราบที่ปัจจัยมีอยู่ ปัจจยุปบันนั้นเป็น ต้องเป็นนามหรือรูปเสมอ

นามรูป... จะกำลังเกิดขึ้นอยู่ หรือไม่ได้กำลังเกิดขึ้นอยู่ก็ตาม... นามรูปนั้นก็มีอยู่ ตามปัจจัยของตนที่ยังให้ผลได้อยู่.

ไม่ใช่ว่า "นามรูปที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เท่านั้นมีอยู่จริง นามรูปที่ไม่ได้กำลังเกิดอยู่ไม่มีอยู่จริง" แบบที่อุจเฉทวาทีชอบพูดกัน.

ตราบที่ปัจจัยมีอยู่ ปัจจยุปบันนั้นเป็น ต้องเป็นนามหรือรูปเสมอ ไม่ว่ามันจะเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด ทราม ประณีต ก็ตามนะครับ.

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

จิตกุศลของพระอริยะคิดถึงจิตจะฆ่าได้, แต่จิตจะฆ่าเกิดกับพระอริยไม่ได้เลย

จิตกุศลของพระอริยะคิดถึงจิตจะฆ่าได้, แต่จิตจะฆ่าเกิดกับพระอริยไม่ได้ เลยครับ.

เช่น ขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องปาณาติบาตอยู่ ขณะนั้นจิตกิริยา (ซึ่งเทียบเท่ากับจิตกุศล แต่ไม่ให้วิบากและกรรมชรูป) ของพระองค์ กำลังคิดถึงจิตจะฆ่าชีวิตินทรีย์ที่จะถูกฆ่า. แต่จิตจะฆ่าไม่ได้เกิดขึ้นเลย.

หรือตัวอย่างในคนธรรมดา เช่น ขณะคิดถึงตอนทีตนเองเคยตบยุง ขณะนั้น จิตของเขากำลังคิดถึงจิตจะฆ่ายุงในอดีต คิดถึงยุงที่ถูกฆ่า, แต่เขาอาจจะคิดถึงสิ่งเหล่านั้นอยู่ด้วยกุศลก็ได้ เช่นคิดว่า เราจะไม่ฆ่าแบบนั้นอีก ไม่ให้จิตแบบนั้นเกิดขึ้นอีก เป็นต้น.

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

เคยต้องสังฆาทิเสสตอนเป็นพระ สึกมาได้รับการยกเว้นไม่ต้องแก้ไขอาบัติได้ จนกว่าจะบวชใหม่อีกครั้ง

ถ: ถ้าติดสังฆาทิเสสแล้วไม่ได้แก้ก่อนสึกจะทำให้ชีวิตไม่ดีทำมาหากินไมขึ้นจริงหรือเปล่าครับ?


ต: อาบัติไม่มีผลกับฆราวาส ครับ, สึกมาเป็นฆราวาสแล้ว อาบัติก็ไม่ตามมา, ต่อเมื่อบวชใหม่ ถึงจะต้องไปอยู่กรรมแก้ของที่บวชครั้งที่แล้ว ครับ. ฉะนั้น สบายใจได้ว่า อาบัติไม่ตามมาในตอนเป็นฆราวาส ครับ.



ถ: ถ้าไม่ได้กลับไปบวชอีกจะมีวิธีแก้ไขได้ไหมครับ?


ไม่ต้องแก้ครับ เรื่องของพระ ไม่ใช่เรื่องของโยม, เกิดใหม่เป็นฆราวาสแล้ว ก็มีความผิดตามกฎหมายฆราวาส ส่วนกฎหมายพระก็ตามมาไม่ถึงครับ. 


บาปกรรมก็สำเร็จไปตั้งแต่ขณะทำแล้ว ถึงแม้ตอนนี้ยังเป็นพระอยู่ก็ตาม ก็ไม่สามารถจะไปแก้บาปได้เหมือนกันครับ.



เป็นอันว่า บาปเก่าแก้ไม่ได้ไม่ว่าเป็นพระอยู่หรือเป็นโยม... 

ส่วนอยู่ปริวาสมานัติไม่ต้องทำ เพราะเป็นข้อยกเว้นให้ฆราวาสอยู่แล้ว... 


ดังนั้น จึงเหลือสิ่งที่ต้องทำคือ ทำความเข้าใจแล้วตัดกังวลเสีย เพราะกุกกุจจะความเดือดร้อนใจในสิ่งไม่ดีที่ทำไว้และสิ่งดีๆที่ไม่ได้ทำนั้นคือบาปแน่นอนที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ ซึ่งแก้ได้เด็ดขาด ด้วยการเข้าใจถูกต้อง ครับ.

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

ธาตุในอรรถกถาบางทีแปลว่ากระดูก ไม่จำเป็นต้องมีลักษณะพิเศษกว่ากระดูกทั่วไป

ในอรรถกถา คำว่า ธาตุ ในที่ๆ มีการเผาศพกัน ตรงนั้นตามอภิธานัปปทีปิกาให้แปลว่า กระดูก (อฏฺฐิ). ธาตุในที่นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกระดูกที่ผิดปกติ หรือ สวยกว่าปกติ เป็นกระดูกสีขาวธรรมดาๆ ก็ได้ ครับ.

ลองค้นคำว่า ธาตุ ดูนะครับ.
http://www.mahamodo.com/buddict/buddict_pali.asp

ที่ทรงให้เอากระดูกไปสร้างอนุเสาวรีย์เก็บไว้ ก็เพราะคนๆ นั้นมีบุญคุณน่ายกย่องเป็นแบบอย่าง ครับ.

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

แปลเรื่องกสิณและปริตตาภาพรหมในอนุรุทธสูตรใหม่





ตรงนี้ฉบับมหาจุฬายังแปลผิดอยู่นะครับ คำว่า กสิณตรงนี้ โยคมาผิด ครับ. ในบาลีไม่มี ในอรรถกถาก็ไม่ได้ใส่ให้ ครับ. ควรแปลประมาณว่า "แผ่ไป น้อมไปว่า เป็นผู้แสงสว่างเล็กน้อย(ปริตตาภา)" (ไม่แน่ใจเรื่องปัจจัยว่าลงเป็นบุคคล สิ่งของ หรืออะไร เนื่องจากอ่านคร่าวๆ และไม่เคยอ่านมาก่อน).




ส่วนข้อความตรงนี้ คนที่อ่านไม่ตามลำดับ และไม่แม่นอภิธรรมอาจจะสับสนได้นะครับ อาจจะเข้าใจผิดไปได้ว่า "ผุ้เข้ากสิณฌานอยู่มีแสงสว่างเศร้าหมองหรือบริสุทธิ์เป็นอารมณ์อยู่" ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ.
จริงๆ ตรงนี้ หมายความว่า ผู้ทำฌานจากย่อหน้าก่อนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูปนี้ เมื่อออกจากฌานในย่อหน้านี้ แล้วน้อมไปคำนึงถึงแสงสว่างเศร้าหมองเป็นอารมณ์ของปริตตาภาพรหม ซึ่งเป็นภพที่ตรงกับภูมิฌานที่ตนทำได้นั้น ในขณะที่ไม่ได้ทำฌานอยู่นะครับ ไม่ใช่ในขณะที่ทำฌาน.
ในฏีกาปฏิเสธไว้ประมาณว่า เพราะการแผ่อย่างนี้ไม่มีอยู่ในผู้ที่ทำฌาน (มีแต่กสิณนิมิตบัญญัติเป็นอารมณ์) ในอรรถกถาจึงแสดงว่า ท่านกล่าวอย่างนี้ เพราะเมื่อทำฌาน ในย่อหน้าก่อนๆ แล้ว ก็จะได้เป็นปริตตาภาพรหม ซึ่งเป็นพรหมที่มีแสงแผ่ ตามภูมิฌานที่เศร้าหมอง หรือ บริสุทธิ์ ด้วยอำนาจวสีของตน.
ต้องเรียนเรื่อง อุปจาระ และนยะ ให้ดี แล้วดูอรรถกถาบาลีประกอบครับ เป็นปาฐะที่เข้าใจผิดง่ายมาก เพราะเมื่อไม่เข้าใจหลักอุปจาระ นยะ จะอ่านอรรถกถาตรงนี้ไม่ เข้าใจ ผมเองก็ยังอ่านอยู่ 2 ชั่วโมง ถึงจะจับความได้ เพราะมีความซับซ้อนทางสำนวน และบริบทที่เชื่อมโยงกัน #จะตัดเอามาอ่านอย่างในรูปแค่นั้นไม่ได้ ครับ.
อนึ่ง นี่เป็นข้อดีของการคบผู้ที่ทำฌาน อย่าง Pa-Auk นะครับ คือ อ่านปาฐะบาลีเรื่องฌานพวกนี้ได้รู้เรื่องจนได้ แม้ตัวเองจะไม่ได้ทำฌาน ครับ.

เมตตาเหมาะกับใคร

เมตตาจะเหมาะกับคนโกรธง่าย... เห็นนักการเมืองก็หงุดหงิด, เห็นพ่อแม่ก็หงุดหงิด, ข้อความยาวหน่อยก็หงุดหงิด  เป็นต้น. แต่เป็นกรรมฐานที่ฝึกยากป...